มานัต-อัพภาน
มานัต
มานัต คือ ระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติ หมายถึง นับราตรี การนับราตรี
ซึ่งการนับราตรี หรือมานัตนั้นเป็นเงื่อนไขต่อจากการประพฤติปริวาสของภิกษุผู้อยู่กรรม เมื่ออยู่ปริวาส ๓ ราตรี หรือตามที่ี่คณะสงฆ์กำหนดแล้ว เมื่อคณะสงฆ์พิจารณาว่า ปริวาส ที่ภิกษุประพฤตินั้นบริสุทธิ์ ในการพิจารณาของสงฆ์แล้วสงฆ์ก็จะเรียกผู้ประประพฤติปริวาสนั้นว่ามานัตตารหภิกษุ แปลว่า" ภิกษุผู้ควรแก่มานัต
มานัต หรือการนับราตรีนั้นได้แก่การนับราตรี ๖ ราตรีเป็นอย่างน้อย
ซึ่งเกินกว่านี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าน้อยกว่า ๖ ราตรีไม่ได้ ซึ่งเป็นพระวินัยกำหนดไว้เช่นนั้น ซึ่งการนับราตรีของ มานัต นั้น ก็มีเงื่อนไขที่ทำให้นับราตรีไม่ได้เช่นกัน
เรียกว่า
การขาดแห่งราตรี หรือ การนับราตรีเป็นโมฆะ ซึ่งการนับราตรีไม่ได้นี้เรียกว่า "รัตติเฉท"
เงื่อนไขที่ทำให้นับราตรีไม่ได้สำหรับมานัตมีด้วยกัน ๔ อย่าง คือ
- สหวาโส คือ การอยู่ร่วม
- วิปปวาโส คือ การอยู่ปราศ
- อนาโรจนา คือ การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ
- อูเน คเณ จรณํ คือ การประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง
สหวาโส คือ การอยู่ร่วม มีข้อกำหนดเหมือนปริวาสไม่มีข้อแตกต่างกัน
วิปปวาโส คือ การอยู่ปราศ หรือ อยู่ในถิ่นอาวาสที่ไม่มีสงฆ์อยู่เป็นเพื่อน
ในส่วนข้อนี้มีความแตกต่างตรงที่การประพฤติปริวาสนั้นจะสมาทานประพฤติวัตร กับคณะสงฆ์อาจารย์กรรมรูปเดียวก็ได้
แต่มานัตนั้นต้องสมาทานกับสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไป หรือในกรณีที่ภิกษุผู้ประพฤติปริวาสเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยอาพาธขึ้น ในระหว่างมานัต จำต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็ต้องมีสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป
ไปเฝ้าไข้ ซึ่ึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องอนุญาตให้ไปรักษาอาพาธนั้นให้หายเป็นปกติก่อน เมื่อหายเป็นปกติแล้วให้ภิกษุนั้นกลับมาสมาทานวัตรเพียงรูปเดียวในภายหลัง (แต่ถ้าเก็บวัตรแล้วก็ไม่เป็นไร) ส่วนการบอกวัตรนั้น ถ้าบอกเป็นครั้งแรกในวันนั้นต้องบอกกับสงฆ์หมดทุกรูปแต่ถ้าการบอกวัตรนั้น
เป็นการบอกครั้งที่สองไม่ต้องบอกหมด
ทุกรูป ยกเว้นเมื่อบอกวัตรไปแล้วในขณะนั้น แต่ชั่วครู่นั้น มีพระอาคันตุกะแวะเวียนเข้ามา การบอกวัตรครั้งที่สองนี้จะบอกเดี่ยวสำหรับพระอาคันตุกะ
หรือจะบอกเป็นสงฆ์ก็ได้ขึ้นอยู่ที่คณะสงฆ์พระอาจารย์กรรมกำหนดซึ่งถ้าบอกเป็นสงฆ์ ก็ต้องหาพระอาจารย์กรรมรวมทั้งพระอาคันตุกะนั้น ให้ครบองค์สงฆ์
คือ ๔ รูป
แต่ส่วนมากจะบอกเดี่ยวเพื่อความสะดวกรวดเร็ว
อนาโรจนา คือ การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ ซึ่งการประพฤติมานัตนั้นจะต้องบอกวัตรทุกวัน ไม่บอกไม่ได้ แตกต่างกับปริวาสซึ่งจะบอกก็ได้ไม่
บอกก็ได้ เพราะอยู่ปริวาสนั้นบอกวัตรครั้งเดียวแล้วอยู่ต่อไปอีกสามวันโดยที่ไม่บอกอีกก็ได้ ทั้งนี้หมายความว่าจะต้องไม่ทำผิดกฏข้ออื่น ๆ อีก
อูเน คเณ จรณํ คือ การประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง หมายถึง
การประพฤติวัตรของพระมานัตในที่ที่มีสงฆ์ไม่ครบ
๔ รูปตามพระวินัยกำหนด
เช่นนี้ถือว่า ประพฤติวัตรในคณะอันพร่องซึ่งจะทำให้การนับราตรีเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้
มานัตหรือการนับราตรีนั้น มีอยู่ ๔ อย่าง คือ
- อัปปฏิจฉันนมานัต คือ เป็นมานัตที่ภิกษุไม่ต้องอยู่ปริวาส
สามารถขอมานัตได้เลย ยกเว้นพวกเดียรถีย์ต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน
- ปฏิฉันนมานัต คือ มานัตที่ให้แก่ภิกษุผู้ปิดอาบัติไว้ หรือมิได้ปิดไว้ก็ตาม
- ปักขมานัต คือ มานัตที่ให้แก่ภิกษุณี ๑๕ ราตรีเท่านั้น(ครึ่งปักษ์)
จะปิดอาบัติไว้หรือมิได้ปิดไว้ก็ตาม
- สโมธานมานัต คือ มานัตที่มีไว้เพื่ออาบัติที่ประมวลเข้าด้วยกัน
อันเนื่องมาจากสโมธานปริวาสนั้น ซึ่งสโมธานมานัตนี้เป็นมานัตที่สงฆ์นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน
|
|
|
|
อัพภาณ
อัพภาน คือ การที่สงฆ์เรียกเข้าหมู่ หรือการที่ภิกษุท่านได้ชำระสิกขาบทที่ได้ทำให้ตนมัวหมองจนผ่านขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส การขอมานัต
นับราตรีจนครบกระบวนการขั้นตอนของการประพฤติวุฏฐานวิธีตามที่พระวินัยกำหนด จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ สงฆ์เรียกภิกษุนั้นเข้าหมู่แห่งสงฆ์เป็นสงฆ์ปกติจึงเป็นการให้ อัพภาน
ซึ่งการให้ อัพภาน นี้ พระวินัยกำหนดให้สงฆ์สวดเรียกเข้าหมู่โดยต้องใช้สงฆ์สวดจำนวน ๒๐ รูป ขึ้นไป เมื่อสงฆ์ ๒๐ รูป
ทำสังฆกรรมสวดเรียกเข้าหมู่ให้แล้ว
ก็ถือเป็นสิ้นสุดกระบวนการประพฤติวุฏฐานวีธี ในทางพระวินัย ภิกษุนั้นๆ
ก็เป็นภิกษุ ุผู้บริสุทธิ์ เป็น ปริสุทโธ
การกำหนดองค์สงฆ์ที่ต้องทำกรรมในการประพฤติวุฏฐานวิธี
มี ๒ ประเภท คือ
- จตุวรรคสงฆ์ มีจำนวน ๔ รูป (หรือ ๕ รูปรวมองค์สวด)ให้ปริวาส ให้มานัต ให้ปฏิกัสสนาฯ
- วีสติวรรคสงฆ์ มีจำนวน ๒๐ รูป(๒๑ รวมองค์สวด)ให้อัพภาน
วิธีการสวดให้ปริวาส และ อัพภาน มีอยู่ ๓ วิธี คือ
- วิธีการขอหมู่-สวดหมู่
ซึ่งการขอหมู่-สวดหมู่ ก็คือภิกษุผู้ประสงค์อยู่ประพฤติปริวาส ได้สวดขอปริวาส มานัต และอัพภาน ซึ่งภิกษุที่ขอหมู่ก็คือ สงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าสวดขอปริวาสพร้อมกันครั้งละ ๓ รูป ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด (และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน)
- วิธีการขอหมู่-สวดเดี่ยว
ซึ่งก็คือ ภิกษุผู้ประสงค์อยู่ประพฤติปริวาส ได้สวดขอปริวาส มานัตและอัพภาน ซึ่งสงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าขอปริวาสพร้อมกันครั้งละ ๓ รูป แต่ให้สวดครั้งละหนึ่งรูป คือสวดองค์เดียวเดี่ยวๆ ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด (และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน)
- วิธีการขอเดี่ยว-สวดเดี่ยว
ก็คือสงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าขอปริวาสครั้งละ ๑ รูป และให้สวดครั้งละหนึ่งรูป คือสวดองค์เดียวเดี่ยวๆ ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด (และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน)
|
|
ระเบียบขั้นตอนการประพฤติวุฒฐานวิธี |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
๒.ความหมายของปริวาส
๐ ประเภทของปริวาสกรรม
๐ ปริวาสสำหรับสงฆ์-คฤหัสถ์
๐ ขั้นตอนการประพฤติวุฒฐานวิธี
อ่านต่อ >>
|
๓.ประเภทของปริวาส
๐ อัปปฏิฉันนปริวาส
๐ ปฏิฉันนปริวาส
๐ สโมธานปริวาส
๐ สุทธันตปริวาส
อ่านต่อ >> |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
๔.เงื่อนไขของปริวาส
๐ รัตติเฉท-วตตเภท
๐ สหวาโส-วิปวาโส
๐ อนาโรจนา
อ่านต่อ >> |
๕.วัตร..บอกวัดร-เก็บวัตร
๐ การสมาทานวัตร
๐ การบอกวัตร
๐ การเก็บวัตร
อ่านต่อ >> |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
๖.ขึ้นมานัต
๐ สหวาโส -วิปปวาโส
๐ อนาโรจนา-อูเน คเณ จรณํ
๐ การขอหมู่-สวดหมู่
๐ การขอหมู่-สวดเดี่ยว
๐ การขอเดี่ยว-สวดเดี่ยว
อ่านต่อ>> |
๗.คำขอปริวาสกรรม
๐ คำขอสุทธันตะอย่างจุลสุทธันตะ
๐ กรรมวาจาให้สุทธันตปริวาส
๐ คำสมาทานปริวาส
๐ คำบอกสุทธันตปริวาส
๐ การเก็บปริวาส
อ่านต่อ >> |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
๘.การขอมานัต
๐ คำขอสุทธันตขอมานัต
๐ กรรมวาจาให้มานัต
๐ คำสมาทานมานัต
๐ คำบอกมานัต
๐ คำเก็บมานัต
อ่านต่อ >> |
๙.การขออัพภาน
๐ คำขออัพภาน
๐ กรรมวาจาให้อัพภาน
อ่านต่อ>> |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ภาพกิจกรรมภายในวัด
หลวงพ่อถวิล จนฺทสโร เมตตานำพระภิกษุสงฆ์ รับบิณฑบาตจากอุบาสก-อุบาสิกา ทุกเช้าภายในวัด เวลา ๐๗.๕๐ น.
อ่านต่อ>>
|
ภัตตาหาร-น้ำปานะบริการ..ฟรี
มีภัตตาหารถวายพระ
และบริการญาติธรรม
ตลอดงานปฏิบัติธรรม
อ่านต่อ>> |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
๐อาคารที่พักญาติธรรม
มีอาคารที่พักของญาติธรรม ที่ไปร่วมปฏิบัติธรรมแยกต่างหากเป็นสัดส่วน
๐ห้องน้ำ-ห้องสุขา
มีห้องน้ำ-ห้องสุขาภายในวัดประมาณ ๑๐๐ ห้อง
สะอาด สดวก ปลอดภัย อ่านต่อ>> |
|
|
|
|
|
|
|
|